Category ข่าววันนี้

กรุงเทพ จมฝุ่น PM2.5

เช็กด่วน "กรุงเทพ" จมฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน 70 พื้นที่ เขตประเวศหนักสุด

ฝุ่นละออง PM2.5 ในกทม. เกินค่ามาตรฐาน 70 พื้นที่ ค่าเฉลี่ย 85.2 ไมโคกรัม/ลูกบาศก์เมตร พบสูงสุด เขตประเวศ 105 มคก./ลบ.ม.

สรุปผลการวัด PM2.5 วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 05.00-07.00 น. (3 ชั่วโมงล่าสุด) โดย ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร

ตรวจวัดได้ 61-116 มคก./ลบ.ม. ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 85.2 มคก./ลบ.ม. ค่า PM2.5 มีทิศทางลดน้อยลง เกินมาตรฐานปริมาณ 70 พื้นที่ อยู่ในระดับเริ่มทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ปริมาณ 39 พื้นที่ และมีผลต่อต่อร่างกาย จำนวน 31 พื้นที่

ทั้งนี้ ณ เวลา 07.00 น. ตรวจวัดค่าฝุ่นละออง PM2.5 ได้ 61-105 ไมโครกรัม ต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม.) โดยมีทิศทางลดน้อยลง เมื่อเทียบกับเมื่อวานในช่วงเวลาเดียวกัน และพบว่าเกินมาตรฐาน (มาตรฐานไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 70 พื้นที่หมายถึงโดยจุดที่มีค่าฝุ่นสูงสุดในพื้นที่ เขตประเวศ ข้างหน้าห้างสรรพสินค้าซีคอน สแควร์ : มีค่าเท่ากับ 105 มคก./ลบ.ม.

PM2.5 เกินมาตรฐาน

เหตุที่เกี่ยวเนื่อง(คาดการณ์แนวโน้มสภาพอากาศ

ที่ก่อให้เกิดผลเสีย ต่อฝุ่นPM2.5 โดยสภาพทางอุตุนิยมวิทยา) คาดว่าอัตราการถ่ายเทอากาศในช่วงวันที่ 2 – 4 ก.พ. 66 จะไม่ดี/อ่อน เนื่องมาจากเพดานอากาศต่ำ เกิดสภาพการณ์อากาศ ปิดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดการสะสมของฝุ่น PM2.5 มีลักษณะท่าทางมากขึ้น หรือต่ำลงสลับ กันในช่วงนี้ สำหรับในช่วงวันที่ 5 – 8 ก.พ.66

คาดว่าอัตราการระบายอากาศจะดีมีฝนบางพื้นที่ จากทิศใต้ และลมตะวันออกเฉียงใต้ พัดนำความชื้น จากทะเลจีนใต้ และอ่าวไทย พัดเข้ามาปกคลุมแทนที่ลมหนาว ส่วนมวลอากาศเย็น ที่แผ่ปกคลุม เริ่มมีกำลังอ่อนลง ทำให้ไทยตอนบน มีอุณหภูมิสูงขึ้น กลางวันอากาศร้อน ทำให้เกิดการสะสมของฝุ่นPM2.5 มีทิศทางน้อยลง และวันนี้ พื้นที่กรุงเทพมหานคร และบริเวณรอบๆมีหมอก ในตอนตอนเช้า โดยมีฝนเฟ้าคะนอง จำนวนร้อยละ 40 ของพื้นที่

ช่วงวันที่ 2 – 4 ก.พ. 2566 พื้นที่กรุงเทพและบริเวณรอบๆควรจะเฝ้าระวังการสะสมของฝุ่นละออง เนื่องจากว่าสภาพอากาศที่นิ่ง และปิด โดยพื้นที่ที่ควรจะเฝ้าระวัง ได้แก่ พื้นที่กรุงเทพกลาง กรุงธนเหนือ และกรุงธนใต้

จากการตรวจสอบข้อมูลจุดความร้อน (hotspot) ผ่านดาวเทียม จากหน่วยงาน NASA ไม่พบจุดความร้อนที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลกรอบๆพื้นที่กรุงเทพมหานคร ประชาชนสามารถตรวจตราข้อมูลคุณภาพอากาศก่อนออกจากบ้าน เพื่อวางแผนทำงาน การทำกิจกรรม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ ที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับเริ่มมีผลต่อต่อร่างกาย/มีผลเสียต่อร่างกาย ควรจะลดระยะเวลา หรืองดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง

ทั้งนี้ กรณีประชาชนพบเจอแหล่งกำเนิดมลภาวะสามารถแจ้งเบาะแส ผ่านทาง Traffy Fondue

มลพิษฝุ่น กทม. ติดอันดับ 4 โลก

มลพิษฝุ่นละออง กทม. ติดอันดับ 4 โลก สูงระดับสีแดง ให้งดกิจกรรม ที่จัดกลางแจ้ง

เตือน “กรุงเทพฯ” มลพิษอันดับ 4 ของโลก กรมควบคุมมลพิษแจ้ง 70 พื้นที่ทั่วประเทศค่าฝุ่น PM2.5 สูงในระดับอันตรายสีแดง มีผลกระทบต่อร่างกาย ระบุเฝ้าระวัง 3-4 ก.พ.นี้ค่าฝุ่นผงยังสูงต่อเนื่อง รีบยกระดับลดจุดความร้อน ผลหารือร่วม กทม.ให้ เจ้าหน้าที่ WFH ส่วน กทม.ยังไม่ประกาศ ปิดสถานที่เรียน แต่ให้งดกิจกรรม กลางแจ้งปัญหาฝุ่นละอองจิ๋ว ที่เป็นภัยต่อสุขภาพ อย่างมากกำลังเป็นเรื่องสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ที่จำต้องรีบปรับปรุง

ทั้งนี้ ที่กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อม เมื่อวันที่ 2 ก.พ. นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ในฐานะประธานศูนย์แก้ไขมลพิษทางอากาศ แถลงถึงการยกระดับมาตรการเพื่อลดแหล่งกำเนิด PM2.5 และป้องกันผลพวงต่อสุขภาพอนามัย ว่า เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 2 ก.พ. วัดค่าฝุ่นขนาดเล็ก PM2.5 ได้ระหว่าง 17-158 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม.)

คุณภาพอากาศอยู่ในระดับค่อนข้างไม่ดีมาก ถึงมีผลต่อต่อร่างกาย วันนี้มีพื้นที่สีแดงรวม 70 พื้นที่ทั่วราชอาณาจักร ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่อยู่ในเขต กทม.และปริมณฑล ถือว่าค่าฝุ่นผงสูงติดต่อกันเป็นวันที่สอง มีปัจจัยสำคัญจากสภาพอากาศปิด ลมสงบ การจราจรติดขัด นำมาซึ่งการทำให้ฝุ่นสะสมตัวมากขึ้น

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษกล่าวต่อว่า จากการตรวจตราข้อมูลของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือจิสด้า (GISTDA) เมื่อวันที่ 1 ก.พ. พบจุดความร้อนทั่วทั้งประเทศโดยประมาณ 1,200 จุด หัวใจสำคัญสำหรับในการลดจุดความร้อน คือ การบริหารจัดแจงเชื้อเพลิง บางจังหวัดงดการเผาในบางช่วงเวลา ทำให้บางครั้งบางคราวเกิดปัญหารุมเผาในบางช่วงเวลาเช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุนั้นการบริหารจัดแจงเผาก็เลยเป็นสิ่งจำเป็น แต่ละจังหวัดจะมีอำนาจเต็มสำหรับเพื่อการควบคุมการเผา โดยมีแอปพลิเคชัน Burn Check ใน จังหวัดเชียงใหม่ ใช้แล้ว 100% แต่บางจังหวัดยังไม่ 100% จำเป็นต้องประสานความร่วมแรงร่วมมืออย่างครัดเคร่งถัดไป โดยภาครัฐตั้งเป้าลดจุดความร้อนให้ได้ 50-60%

“กรมได้คาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล วันที่ 3-4 ก.พ. พื้นที่ กทม. และปริมณฑลควรเฝ้าระวังการสะสมของฝุ่นละออง เนื่องจากสภาพอากาศที่นิ่งและปิด พื้นที่ที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ พื้นที่กรุงเทพฯกลาง กรุงธนเหนือและใต้ (พื้นที่ท้ายลม) พื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ควรเฝ้าระวังบริเวณภาคเหนือตอนบนและล่าง โดยเฉพาะช่วงวันที่ 3-4 ก.พ. ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสถิติค่าฝุ่นลดลงในทุกปี แต่ในปี 66 จากการคาดการณ์คาดว่า ค่าฝุ่นอาจรุนแรงกว่าปี 65 เนื่องจากสภาพอากาศจะแล้งมากขึ้น วันที่ 1 มิ.ย. จะมีการปรับเปลี่ยนค่ามาตรฐานฝุ่น PM2.5 ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง จากเดิมไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม. ลดลงเหลือ 37.5 มคก./ลบ.ม.

ติดอันดับ 4 โลก สูงระดับสีแดง มลพิษฝุ่น

ดังนั้นการบริหารจัดการฝุ่น PM2.5 ต้องเข้มข้นกันมากขึ้น” นายปิ่นสักก์กล่าว

ผู้สื่อข่าวแถลงการณ์ว่า IQAir | First in Air Quality ที่เป็นเว็บไซต์จัดอันดับคุณภาพอากาศและจัดอันดับเมืองที่มีมลภาวะของโลก แถลงการณ์ในเวลา 10.00 น. ว่า กทม.เมืองไทยมีค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index : AQI) สีแดง 192 มีผลต่อต่อทุกคน คุณภาพอากาศมีมลภาวะเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากเมืองการาจี ประเทศปากีสถาน เมืองลาฮอร์ประเทศปากีสถานและประเทศคูเวต

ต่อมา นายปิ่นสักก์แถลงถึงสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ปัจจุบันค่า PM2.5 อยู่ในระดับเกินมาตรฐาน ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยตอนกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสาน ภาคใต้ ทั้งนี้ ในวันที่ 5 ก.พ. PM 2.5 จะน้อยลงอยู่ในระดับปานกลาง

จากนั้นวันที่ 7 ก.พ.จะน้อยลงมาอยู่ในระดับค่ามาตรฐาน ทั้งในพื้นที่ กทม. และ 17 จังหวัดภาคเหนือ นายกฯได้สั่งย้ำให้ดำเนินมาตรการป้องกันอย่างครัดเคร่ง ขอความร่วมมือลดการก่อสร้าง การเผาในที่โล่ง แจ้งพลเมืองกลุ่มเสี่ยงตรวจสอบ และดูแลตนเอง ติดตามสถานการณ์ PM 2.5 ผ่านแอปพลิเคชัน Air 4 Thai ส่วนประชาชนในพื้นที่ กทม.ตรวจสอบ ได้ผ่านแอปพลิเคชัน Air Bkk

“สำหรับโรงเรียนในสังกัด กทม.ไม่ปิด ทั้งนี้ ผู้อำนวยการเขตทั้ง 50 เขต มีอำนาจประกาศเป็นเขตเดือดร้อนรำคาญตาม พ.ร.บ.สาธารณสุขฯ จะทำให้ควบคุมการเผาได้ อยากขอร้องไปถึงเรื่องธูป เทียน การเผากระดาษเงิน-ทอง แต่คงบังคับมากไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องความเชื่อ รวมทั้งกิจกรรมก่อสร้างที่ กทม.เป็นเจ้าของโครงการด้วย แนะนำช่วงนี้ว่าควรงดออกกำลังกายกลางแจ้ง ช่วงนี้ตนเองก็หยุด หากออกกำลังกายกลางแจ้งต้องใส่หน้ากาก ส่วนตัวออกกำลังกายในห้อง วิดพื้น-จ๊อกกิ้ง” นายชัชชาติกล่าว

สภาพอากาศวันนี้ ทั่วไทย

เช้านี้ทั่วไทย "เย็นถึงหนาว" ก่อนอุณหภูมิสูงขึ้น 1-3 องศา ภาคใต้ระวังฝนฟ้าคะนอง

สภาพอากาศวันนี้ กรมอุตุฯ เผยไทยอุณหภูมิสูงขึ้น 1-3 องศา แต่ตอนเช้ายัง “เย็นถึงหนาว” เตือนภาคใต้ระวังฝนฟ้าคะนอง

(1 ก.พ.2566) กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า รอบๆความกดอากาศสูง หรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนปกคลุมเมืองไทย และทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้เมืองไทยมีอุณหภูมิสูงมากขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส กับมีหมอกในตอนเช้า แต่ยังคงมีอากาศเย็น ถึง หนาว ในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลางตอนบน ส่วนภาคทิศตะวันออก และภาคใต้ตอนบนมีอากาศเย็นในตอนเช้า

ขอให้ประชากรบริเวณเมืองไทยดูแลรักษาสุขภาพ เพราะว่าสภาพอากาศ ที่เปลี่ยนแปลง และเพิ่มความระมัดระวัง สำหรับในการเดินทางผ่านรอบๆที่มีหมอก รวมถึงระวังอันตรายจากอัคคีภัย ที่บางทีอาจเกิดขึ้นเนื่องมาจากสภาพอากาศแห้งไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน มีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้ตอนล่าง มีฝนตกหนักบางที่ ขอให้ประชาชนรอบๆภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักในตอนนี้ ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ยังคงมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร รอบๆที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ประชาชน ที่อาศัยอยู่รอบๆริมฝั่งภาคใต้ ฝั่งตะวันออกระวังอันตราย จากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ส่วนชาวประมงรอบๆอ่าวไทย และทะเลอันดามันควรออกเรือด้วยความรอบคอบ และหลีกเลี่ยงการออกเรือในบริเวณ ที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กรอบๆอ่าวไทยตอนล่าง ควรงดออกจากฝั่งต่อไปอีก 1 วัน

 

กรมอุตุนิยมวิทยา
พยากรณ์อากาศ สำหรับเมืองไทย 00:00 น. วันนี้ ถึง 00:00 น. วันพรุ่งนี้ สภาพอากาศวันนี้

ภาคเหนือ

อากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกในตอนเช้า
และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิต่ำสุด 11-16 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 30-35 องศาเซลเซียส
บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด
อุณหภูมิต่ำสุด 5-10 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 5-15 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

อากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกในตอนเช้า
และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิต่ำสุด 10-16 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
บริเวณยอดภูอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-10 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

ภาคกลาง

อากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกในตอนเช้า

และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิต่ำสุด 15-18 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 10-15 กม./ชม.

ภาคตะวันออก

อากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้า
และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิต่ำสุด 17-22 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร

 

เตือนภาคใต้ระวังฝนฟ้าคะนอง
ภาคใต้(ฝั่งตะวันออก)

ตอนบน: อากาศเย็นในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส
ตอนล่าง: มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 30 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
อุณหภูมิต่ำสุด 19-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส
ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป ลมตะวันออก ความเร็ว 20-40 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร

ภาคใต้(ฝั่งตะวันตก)

มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง และสตูล
อุณหภูมิต่ำสุด 22-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร

กรุงเทพและปริมณฑล

อากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 10-15 กม./ชม.

คำสั่งเสียสู่ขวัญ บูลกุล

"สู่ขวัญ บูลกุล" ในวัย 50 รู้สุขรู้ทุกข์ ออกแบบการจากลาของตัวเองไว้แล้ว ไม่อยากกลับมาเกิดอีก

เป็นสตรีต้นแบบของสาวๆผู้คนจำนวนมากในยุคนี้ สำหรับ “สู่ขวัญ บูลกุล” ที่ปีนี้ย่างเข้าเลข 5 แล้ว สู่ขวัญได้มาเปิดใจในรายการ WOODY FM ถึงเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา ทั้งสุข และก็ ทุกข์ รวมทั้งการผ่านวาระของการจากลา ที่เป็นช่วงๆที่ทุกข์ที่สุดในชีวิต จน ไม่คิดต้องการจะเกิดมาอีกแล้ว

ชอบพลังงานดี ๆ ในวัยนี้?

“ใช่ เรามีความคิดว่า ยิ่งเราอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรายิ่งชอบตนเองมากเพิ่มขึ้น

อดีตคำว่า รักตัวเอง พวกเราไม่เก็ตเลย มันอย่างไร แสดงว่าอะไร ฉันจำเป็นต้องทำทุกอย่างเพื่อตนเองเหรอ สุข ทุกข์ ที่มันผ่านมาในชีวิตพวกเรา เรียนรู้กับมัน ตอนทุกข์ ก็ทุกข์ ตอนสุข ก็สุข แต่มันทำให้เราเข้าใจชีวิต และก็ รู้จักชีวิต

จนถึงมาเป็นวันนี้ พวกเราไม่ได้เพอร์เฟกต์ และ ไม่ได้มีทุกอย่าง แต่พวกเราก็เดิน ก้าว ผ่านผ่านทุกอย่างมาได้ บางทีก็ไปได้อย่างรวดเร็วทันใจ บางทีก็ไปได้ช้า บางทีก็ต้องลงไปพักก่อน ลุกไม่ไหว แต่สุดท้ายพวกเราก็ผ่านหลายอย่างมาแล้ว

จะเรียกว่าภูมิใจก็ได้ จะเรียกว่า พวกเรารู้จะชีวิตก็ได้ พวกเราไม่ค่อยกลัว ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเรามั่นใจว่ามันจะผ่านไปได้ ทั้งหมดจะเป็นเรื่องราวในชีวิตที่ท้ายที่สุด เราจะรู้ดีว่าที่มาถึงวันนี้ เป็นเนื่องจากว่าตัวเรา

เพราะว่าการกล่าวถึงชีวิตมันไม่มีใครช่วยกันได้นะ คุณจำต้องเดินไปด้วยตัวเอง ทุกปัญหา ทุกอุปสรรค มีคนยื่นกำลังใจได้ ให้คำปรึกษาได้ ให้ความรักได้ แต่คนที่ในที่สุดต้องลุกขึ้น แล้วก็เดินไปเองให้ได้คือ เรา”

จริง ๆ แล้วชีวิตผู้คน มันมิได้ยากอย่างที่คิด เพียงแค่อยู่กับสิ่งที่พวกเรามีอยู่?

“มันบางทีก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดี ที่สุด ที่พวกเราทำได้ก็ได้ แต่พวกเราเพียรพยายามที่จะคิดทำอะไรให้มันยากไปอีก มันจะต้องค้นหากระบวนการ หรือยังไง แต่ในที่สุด มันก็คืออยู่กับโมเมนต์นั้น ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะ สุข หรือ ทุกข์ มันจะผ่านไปทุกวินาที อันนั้นแหละ คือดีที่สุดแล้ว ที่เราจะทำเป็น”

สู่ขวัญ

“สู่ขวัญ บูลกุล” เคยบอกไว้ว่า อีก 5 ปีจะออกมาจากแวดวง ในเวลานี้ยังเหลืออีก 1 ปี แต่ สู่ขวัญ ก็ไม่เชิงว่า อยู่ในวงการ?

“(หัวเราะ) ยังคิดอยู่ตลอดเวลา ยังคิดอยู่เรื่อยๆนะ ถ้าหากพวกเราไม่ทำอะไรทุกอย่าง ที่พวกเราทำอยู่ขณะนี้ จะเป็นยังไง แต่ขวัญพบว่าพวกเรามักจะรักคนที่ปฏิบัติงานด้วยเสมอเลย มันเลยเป็นอีกเรื่องหนึ่งไป ไม่ใช่ว่าพวกเราอยู่ในแวดวง หรืออะไร ขวัญเป็นคนโชคดี เรื่องคน ทุกคราว คนที่ขวัญทำงานด้วย จะกลายเป็นเพื่อนในชีวิตจริงไปหมดเลย โดยเหตุนี้การออกจากแวดวงมันยากตรงที่พวกเขาเป็นเพื่อนพวกเรา การที่ไปปฏิบัติงานเสมือนการได้ไปเจอเพื่อนฝูง ซึ่งพวกเราก็รักเขา แล้วก็ ยังอยากพบเขาอยู่ตลอด”

ชีวิตโดยรวมยังมีอะไรที่รู้สึกต้องการจะค้นหาอีกไหม?

“ขวัญว่าเราไม่ต้องไปค้นหรอกจ้ะ ชีวิตมันใส่อะไรให้พวกเรามาตลอด โดยที่เราไม่ต้องค้นหา ขวัญว่าพวกเรารับมือมันให้ได้ดีกว่า ยิ่งโตขึ้น ประสบการณ์ชีวิตเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ชีวิตมันโยงให้พวกเรา มันบางทีก็อาจจะสลับซับซ้อนขึ้น ยากขึ้น เพราะเหตุใดที่มันผ่านมาแล้ว มันง่ายไปแล้ว เราก็จะไม่ไปจุดโฟกัสกับมัน พวกเราจะก้าวข้ามผ่านมันไป โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความพากเพียรแล้ว พวกเรารู้ เราเข้าใจว่าพวกเราจะผ่านมันไปยังไง พวกเรารู้พวกเราเข้าใจว่าเราจะคิดกับเรื่อง ๆ นั้นอย่างไร ชีวิตมันยังเป็นอะไร ที่อเมซิ่งเสมอ

ถึงปีนี้ ขวัญ 50 ปี ขวัญก็ไม่เชื่อว่า ขวัญเข้าใจชีวิตดี เพียงแต่ว่า เราทำความเข้าใจที่จะดำรงชีวิตอยู่กับ สุข รวมทั้ง ทุกข์ พอใจ ไม่พอใจ สำเร็จ และก็ ผิดหวัง ทราบว่าจะอยู่กับสิ่งต่าง ๆ และอารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้อย่างไร แต่พี่ขวัญก็ไม่เชื่อว่า พี่ขวัญเข้าใจชีวิตได้ดี เราเชื่อว่ามันยังมีอีกมาก เพียงแค่เมื่อพวกเรามาถึงบางครั้งบางคราว บางครั้งบางครว เมื่อเราจำเป็นที่จะต้องเจออะไร พวกเราก็จะเจอสิ่งนั้นเอง”

4 ปีที่ผ่านมา เรื่องที่ทุกข์ที่สุด คืออะไร ก้าวผ่านอย่างไร?

“ทุกข์ที่สุดคือ เรื่องของการจากไปของพ่อกับแม่ ด้วยเหตุว่าภายใน 3 ปี ที่ผ่านมา เสียเรียงกันเลยค่ะ ป๋าเสียไปก่อน ป๋าเสียปี 2019 คุณแม่เสียปีที่แล้ว ถือเป็นการสูญเสีย ที่มันก็ให้ความจริงของชีวิตจริง ๆ

เพราะเหตุว่าสำหรับขวัญคุณพ่อสำคัญมากในชีวิต แต่พวกเราก็รู้มาตลอด เพราะพ่อไม่ได้ทันควัน แต่แกป่วยมาหลายปีแล้ว เราก็รู้ว่ามันมีสักวันแน่ๆ ก็คุยกับตัวเองว่า สิ่งที่จะมีผลให้เราเสียใจ คือใน เวลาที่เรามีอยู่ ทำไมเราถึงไม่ทำ

ตอนที่พ่อยังอยู่ ใน วันเวลานั้นในสภาพแวดล้อมนั้น ใน ความสามารถเวลานี้ทุกอย่างที่เราพอจะทำได้ พวกเราว่าเราได้ทำเต็มที่แล้ว เมื่อคุณพ่อจากไป เราก็น่าจะเดินต่อไปได้ ซึ่งพวกเราก็เดินต่อไปได้จริง ๆ จ้ะ แต่ความทุกข์ใจมันหนักมากมาย ราวกับว่าบางอย่าง ฉีก แล้วหายวับไปเลยจากชีวิต ชีวิตมันต่อรองไม่ได้จริง ๆ เรื่องสัจธรรมชีวิต มันต่อรองมิได้จริง ๆ มีบางอย่างฉีกขาดหายวับไปกับตาเลย ขนาดว่าพวกเราเตรียมมาอย่างดีแล้ว พวกเราก็ยังมีความคิดว่า มันส่งผลกระทบกับพวกเราม๊าก…มากมายๆๆๆ

เราทำทุกอย่างมาอย่างดี เตรียมใจมาอย่างดี ในตอนนั้นไม่มีฟูมฟาย จน ลอยอังคารเสร็จราวกับทุกอย่างมันถั่งโถม เรารู้สึกได้เลยว่า นี่คือความทุกข์ใจ ถ้าเกิดจะเป็นความทุกข์แบบไหน ที่พวกเรารู้สึกว่าไม่อยากกลับมาเกิดอีกแล้ว

เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเจอกับความทุกข์ใจแบบงี้อีก เพราะเหตุว่ามันหนัก ยิ่งเรามองเห็นลูกเราโศกสลด จากที่เราระทดอยู่แล้ว มันยิ่งซึมเซาไปอีกเท่านึง เรายิ่งต้องทรหดอดทน พี่ขวัญบอกเลยว่า ความอดทนของคนเราไม่มีขีดจำกัด”

สู่ขวัญ บูลกุล

“สู่ขวัญ” มีคุยกับสามีแล้ว หากเธอรั้งฉันไว้ ฉันจะกลับมาหลอก?

“ใช่ ก็คุยกับพี่โชคไว้ พี่โชคเขาจะบอกว่ามิได้สิ ถ้าเกิดพวกเรายังได้โอกาส เราต้องทำแบบเต็มที่ ทำสุดความสามารถ ที่เราจะทำเป็น มีโอกาสเราจำต้องสู้ ขวัญก็บอกว่า ประเดี๋ยวก่อนจ้ะ สู้นี่ดิฉัน ฉันทรมาทรกรรมนะคะ ทุกวันนี้ขวัญดำเนินชีวิตอย่างรู้คุณค่าของชีวิต ที่ผ่านมา ก็ไม่ได้เสียใจกับเรื่องอะไร ก็ทำเต็มที่ ทุกวันนี้ตื่นมารู้สุข รู้ทุกข์ ในแต่ละวัน เมื่อมีความสุขก็รู้คุณค่าของความสุข เมื่อพบความทุกข์ ก็เข้าใจว่านี่แหละ คือการเรียนรู้ของชีวิต ไม่เคยประมาทกับมัน ไม่เคยไม่เห็นคุณค่าของชีวิต

หากวันนึงพวกเราเป็นอะไรไป แล้วมันจะต้องเป็นความทรมาน ในการรักษา แม่คิดว่าแม่โอเค ปล่อยเหอะ เพียรพยายามกล่าวกับลูกไว้ แต่กับสามีดูแบบราวกับจำต้องรักษาไหม เราเลยจะต้องใช้มุก ถ้ามายืดแบบทรมานนะ ยืนยัน พี่ล้างหน้าอยู่เงยขึ้นมา พี่มองเห็นขวัญอยู่ข้างหลังแน่นอน คือขู่ไว้ก่อนเลย พี่จะเจอกับขวัญอีกภาคนึงแน่นอน”

แล้วสุขในแต่ละวันของเรา?

“แค่ทุกยามเช้า มีกาแฟก็แฮปปี้แล้ว นี่คือสิ่งที่พี่ขวัญมีความสุข ในทุก ๆ ยามเช้าของวัน ตื่นยามเช้ามาทำนั้นทำนี้ ทำกับข้าวเสร็จ ก็นั่งทานกาแฟ นั่งดูต้นไม้ ได้นั่งอยู่ตามลำพังเฉยๆอากาศดี ก็แฮปปี้ แดดดีก็สวย วันนี้ครึ้ม ๆ มันก็เป็นอีกแบบนึง หนาวนี้หนาวอยู่ยาวนานหลายวัน ก็รู้สึกโชคดี ที่ปีนี้หนาวนาน ยังแฮปปี้กับโมเมนต์นั้นเหมือนเดิม ถ้าเกิดสู่ขวัญ อาทิตย์หน้าต้องตายแล้วนะ อะไรบ้างที่เราคิดถึง บางทีอาจจะคิดถึงตอนที่เรานั่งกินกาแฟเงียบๆของเราคนเดียว รุ่งอรุณ นั่งมองต้นไม้ แล้วคิดโน่น คิดนี่ไป”

มันเรียบง่ายอย่างยิ่ง?

“ขวัญคิดว่า ขวัญโชคดี ที่ว่าถ้าเกิดความสุขของขวัญ มันง่ายเท่านี้มันก็กลายเป็นขวัญ มีความสุขได้ทุกวันเลยเนอะ แม้กระทั่งเรามีเรื่องทุกข์อยู่ พวกเราก็จะตื่นมาแล้วมีโมเมนต์นั้น เป็นช่วงที่เราได้อยู่เฉยๆแล้วคิด ปล่อยวางกับอะไรบางอย่าง คิดที่จะช่างเถอะ รวมทั้งยอมรับกับความไม่ได้ดั่งใจนั้น ถึงแม้ว่าจะมันเป็นสุข หรือ ทุกข์ มันก็เป็นจังหวะที่ดี เป็นโมเมนต์ที่ดี ประจำวันที่เรามีอยู่ในทุกวัน”

กองสลากพลัส ความพัวพัน ทุนสีเทา

จับตา กองสลากพลัส ความพัวพัน ทุนสีเทา นอท พันธ์ธวัช ยัน ไม่ได้ฟอกเงิน

นอท กองสลากพลัส ยืนยัน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง การฟอกเงิน ให้ กลุ่มทุนสีเทา สมชาย แสวงการ เผย คุย 5 หน่วยงาน ดำเนินการตามกฏหมาย

ตั้งแต่เกิดประเด็นของ กองสลากพลัส ที่เข้าไปพัวพัน เส้นทางการฟอกเงินของ กลุ่มทุนสีเทา ซึ่งเป็นประเด็น ที่ตามมาจากการผิด พ.ร.บ.ขายตรง แล้วก็ตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 สำหรับการขายสลากออนไลน์ และเมื่อมีการเปิดเส้นทางการเงินของ นอท พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ซีอีโอ ของ กองสลากพลัส ที่พบ 39 เส้นทางการเงิน จำนวนราวๆ 1000 ล้านบาท

ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังดำเนินการตรวจสอบ เพราะว่ามีรายชื่อ บุคคล ที่มีความเกี่ยวข้องกับ การพนันออนไลน์ ขบวนการยาเสพติด รวมอยู่ด้วย ซ้ำยังมีการโพสต์จาก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่เดินหน้าแฉกลุ่มทุนจีนสีเทา และก็ทุนไทยสีเทา ออกมาโพสต์ทำนองว่า ใกล้ถึงจุดเดือด ข่าวแว่วมาว่า ปลายเดือน จะมีการจัดการกับ “ทุนใหญ่สีเทา” แหล่งฟอกเงินของนายเอ็ดดี้ (พันณรงค์ ขุนพิทักษ์) มือเก๋าในวงการพนันออนไลน์ ระดับต้นของเมืองไทย

แล้วประเด็นร้อนกรณีนี้ จะเป็นยังไงต่อไป เพราะดูเหมือน เรื่องราวของ กองสลากพลัส เข้มข้นขึ้นทุกที

นอท พันธ์ธวัช

ซึ่งได้มีการสัมภาษณ์ ทางโทรศัพท์ กับ นอท พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ในประเด็น ชำแหละ “กองสลากพลัส” เชื่อมโยงทุนสีเทา?

เพื่อพูดคุยความคืบหน้า แล้วก็เรื่องราวต่างๆ เพิ่มเติม ภายหลังจาก ตัวเขาเดินทางไปพักผ่อนที่ยุโรป แล้วก็พึ่งจะเดินกลับมาวันที่ 26 เดือนมกราคม ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา

นอท พันธ์ธวัช ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยได้เริ่มต้นการพุดคุยประเด็นของ ชูวิทย์ ว่า ในเบื้องต้นยังไม่ทราบว่า จุดเดือด ที่ทาง ชูวิทย์ โพสต์ ในแฟนเพจนั้น เป็นอย่างไร แต่ว่ายืนยันว่า ไม่ได้มีส่วนร่วม ในการฟอกเงิน ส่วนการที่เมื่อมาถึงเมืองไทยหลังจากเดินทางกลับจากการไปพักที่ต่างประเทศ แล้วไม่ได้ไปยัง กรมสอบสวนคดีพิเศษด้วยตัวเอง เพราะเหตุว่าเป็นในส่วนการยื่นเอกสาร ไม่ใช่การสอบปากคำ จึงสามารถส่งทนายไปแทนได้

ซึ่งในเรื่องของเส้นทางการเงิน ที่มีการระบุถึง 39 เส้นทาง ซึ่งแบ่งเป็น เงินฝาก 27 ครั้ง ยอดรวมราวๆ 600 ล้านบาท และก็ถอนเงินอีก 12 ครั้ง ยอดราว 400 ล้านบาท เป็นธุรกรรมโดยรวม ราว พันกว่าล้านบาท

แบ่งเป็นเงินกู้ยืมจากบุคคลต่างๆ ราวๆ 240 ล้านบาท เงินจากการขายฝากบ้าน คอนโด 100 ล้านบาท เงินที่โอนเข้าบัญชีส่วนตัว เพื่อใช้สำหรับการซื้อล็อตเตอรี่ ประมาณ 330 ล้านบาท เงินให้ยืมอีกราว 20 ล้านบาท และไม่มีส่วนไหนในเส้นทางการเงินพวกนี้ที่เกี่ยวข้องกับ เอ็ดดี้ การรู้จักก็เป็นไปตามที่เคยชี้แจงไปแล้ว ส่วนในแง่ของการทำธุรกิจไม่มีความเกี่ยวข้องกัน

ส่วนเรื่องของคนชื่อ แทนไท ที่มาเกี่ยวข้อง ทาง นอท อธิบายว่า รู้จักกันมาเป็น 10 ปี ตั้งแต่สมัยเว็บบอร์ด ที่ไว้พุดคุยเรื่องการทำมาหากินในเน็ต ซึ่งมาเจอพบหน้ากันตามที่อธิบายในเฟซบุ๊กส่วนตัว คือ 10 เดือนธันวาคม 2564 ซึ่งในขณะนั้นเงินส่วนตัวสำหรับการทำธุรกิจแพลตฟอร์มหมด และทราบว่า แทนไท ให้เงินลงทุนกับสตาร์ทอัพ

จึงได้ให้ทีมงานติดต่อ แทนไท เพื่อเข้าไปฟิชชิ่ง เพราะต้องการขยายการขายสลาก จาก 1.2 ล้านใบ ให้ไปถึง 3 ล้านใบ จึงเข้าไปขอทุน ที่มาที่ไปของเงินทุนจาก แทนไท ทาง นอท อธิบายว่า ได้เห็นพอร์ตคริปโต ซึ่งคาดว่าเป็นแหล่งที่มาของเงิน

ต่อคำถามที่ว่า รายชื่อบุคคลที่มีเข้ามาเกี่ยวข้องกับ นอท มีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ รวมถึงยังมีการคาดเดาว่าอาจจะถึงขั้นเกี่ยวข้อง กับการค้ายาเสพติด ตัว นอท ได้บอกว่า การเข้าไปรู้กับบุคคลต่างๆ ไม่ได้เป็นการรู้จักโดยส่วนตัว แต่ว่าเป็นการดำเนินการ ผ่านนายหน้าทั้งหมด การทำธุรกิจ ไม่ได้เป็นการฟอกเงินให้ใคร

ตนเป็นเพียงแค่คนที่ไม่มีเงิน แต่ว่าต้องการเดินหน้าธุรกิจต่อ ธนาคารไม่ให้กู้ ก็ใช้วิธีการกู้ยืมเงินนอกระบบ แล้วก็การเดินทางไปอังกฤษครั้งนี้ ไม่ได้ไปพุดคุยกับ เอ็ดดี้ แต่อย่างใด เรื่องราวของการซื้อโรงแรมของ เอ็ดดี้ ก็พึ่งจะมาทราบเมื่อตอนที่เป็นข่าวเหมือนกัน แล้วก็ที่สำคัญ นอท ยังกล่าวถึงเรื่องที่โดนแฉในขณะนี้ว่า เรื่องต่างๆ ที่ทำการแฉออกมา ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแม้แต่เรื่องเดียว

แล้วก็ไม่ได้กังวลสำหรับการดำเนินการของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และ ปปง. สถานะในเรื่องของการฟอกเงินถึงปัจจุบันนี้ ยังเป็นในส่วน พยาน แค่นั้น หากมีหลักฐานเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้อง ตนก็พร้อมสำหรับการทำตามกฎหมาย แล้วก็ถ้าหากสุดท้าย มีการออกหมายจับ ก็จำเป็นต้องยอมรับ แล้วก็ไปสู้คดี ไม่ได้มีความกังวลอะไร เพราะตนรู้ดีว่ากำลังทำอะไร แล้วก็ไม่ได้ฟอกเงินให้ใคร

สมชาย แสวงการ

ด้าน สมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและก็การคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา บอกว่า

สำหรับการดำเนินการนั้น ไม่ได้เฉพาะเจาะจงเพียงแค่เจ้าใดเจ้าหนึ่งเพียงแค่นั้น แต่ว่าเป็นการดำเนินการทั้งหมดทุกแพลตฟอร์ม ที่ดำเนินกิจการการขายสลากออนไลน์ ที่มองว่าเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ในการดำเนินกิจการสลากอย่างงี้ ในบางประเทศอนุญาต แล้วก็มีในบางประเทศ ที่ไม่ได้อนุญาต หรือให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการแทน โดยนำส่งเงินเข้ารัฐ ส่วนของไทย ดำเนินกิจการแบบผูกขาดโดยรัฐ และใช้วิธีการขายผ่านรายย่อย และบางส่วนขายผ่านมูลนิธิ สมาคมสังคมสงเคราะห์ ไม่ได้อนุญาตให้ใครเป็นเอเย่นต์ทำซ้ำทำขายเพิ่มเติม

ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาได้มีการศึกษาในเชิงวิชาการ ก็พบว่าถึงอย่างไรทางออกสำหรับการขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ให้อยู่ในราคา 80 บาท ต้องใช้วิธีการของการทำเป็นสลากดิจิทัล การที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลทำแพลตฟอร์มออกมาก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ที่สำคัญ สลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นสินค้าควบคุมตามกฎหมาย จำต้องขายในราคา 80 บาทเพียงแค่นั้น และยังคงดำเนินการแบบนี้อยู่ การทำแพลตฟอร์มอื่น รวมทั้งการขายสลากเกินราคา อ้างค่าบริการ ถือว่าผิดกฎหมาย

ในการดำเนินการ ในเวลานี้ได้เชิญ 5 หน่วยงานมาพูดคุยแล้ว ทั้งสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และก็คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค พบว่ามีหลายกรณีที่ต้องทำการสอบเพิ่ม ลำดับถัดไป ก็เชิญกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจแล้วก็สังคม ซึ่งมีหน้าที่ในการปิดเว็บไซต์ แพลตฟอร์มต่างๆ กรมสรรพากร ในเรื่องของการตรวจสอบภาษี กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อดูว่า ใครเป็นหุ้นส่วน ของแพลตฟอร์ม

ประเด็นหลักใหญ่ใจความสำคัญ ที่มีการเพ่งเล็ง แพลตฟอร์มสลาก หรือหวยออนไลน์ สมชาย ให้ข้อมูลว่า การเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มเหล่านี้ เป็นกระบวนการการฟอกเงินผิดกฎหมาย เท่าที่เขาเล่ารายละเอียดเบื้องต้น จะมีทั้งเงินที่มาจากบ่อนคาสิโนรอบเมืองไทย เงินจากเว็บพนันออนไลน์ รวมทั้งเม็ดเงินที่มาจากบ่อนการพนันภายในประเทศเอง ซึ่ง สมชาย มองว่า กระบวนการเหล่านี้มีความผิดที่ชัดเจนอยู่แล้ว ทั้งการขายสลากที่เกินราคา แบบต่างกรรมต่างวาระ และบางแพลตฟอร์มที่มีการพันพัวเงินสีเทา

เราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 ลงทะเบียนชิง

เช็กเงื่อนไขเราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 ลงทะเบียนชิง 5.6 แสนสิทธิ์ต่อห้อง เริ่มเดือน ก.พ. นี้

เช็กเงื่อนไข เราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 ลงทะเบียน www.เราเที่ยวด้วยกัน.com ชิงสิทธิ์ 560,000 สิทธิ์ต่อห้อง เริ่มเดือน ก.พ. 66

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พูดว่า ที่สัมมนา ครม. อนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น 3,946,434,800 บาท เพื่อดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย ด้านการท่องเที่ยว จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 วงเงินรวม 2,016,000,000 บาท และโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทย วงเงิน 1,930,434,800 บาท เกิดผลดีต่อผู้ประกอบการทั้งใน และนอกอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมทั้งภาคแรงงาน ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม ที่เกี่ยวเนื่องกว่า 11 ล้านคน ทั้งนี้ คาดว่าโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 ก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 12,539 ล้านบาท

 

วิธีลงทะเบียน เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองไทย ด้านการท่องเที่ยว ปริมาณ 2 โครงการ ได้แก่

1. โครงการ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 วงเงินรวม 2,016 ล้านบาท

แนวทางดำเนินการ

การลงทะเบียนใช้สิทธิเข้าโรงแรมที่พักจำนวนห้องพัก 560,000 สิทธิ์ต่อห้อง รัฐสนับสนุน 40% แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้องต่อคืน สูงสุด 5 ห้อง
คูปองอาหาร/ท่องเที่ยว (e-voucher) 600 บาทต่อวัน
พื้นที่ดำเนินการ : ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย
ระยะเวลาดำเนินการ : เดือน ก.พ.-ก.ย. 66
ผู้รับประโยชน์จากโครงการ : ประชาชนไทยที่เข้าร่วมโครงการและใช้สิทธิ และผู้ประกอบการในภาคการท่องเที่ยวที่เข้าร่วม
สำหรับผู้เข้าร่วมโครงการฯ มีอายุ 18 ปี ขึ้นไปลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com พร้อมติดตั้งเป๋าตัง โดยต้องจองห้องพักล่วงหน้าก่อนเดินทาง 7 วัน

ส่วนผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมมาตรการลงทะเบียน และยืนยันตัวตนเพื่อรับสิทธิจำนวน 5 สิทธิ สำหรับประชาชนที่เคยใช้สิทธิแล้ว สามารถกดให้ความยินยอม consent ในระบบได้เลย โดย 5 สิทธิดังกล่าว ไม่นับรวมสิทธิที่ใช้แล้วในโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4

โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคล เช่นเดียวกับโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์โครงการที่มุ่งให้เกิดการใช้จ่ายและการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งเป็นการบรรเทาภาระของประชาชน

ทั้งนี้ โครงการฯ ยังมีแนวทางป้องกันการทุจริต : ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จัดให้มีระบบแสดงจำนวนห้องพักของแต่ละโรงแรม-ที่พัก หากมีการจองเกินจำนวนห้องที่แจ้งไว้ ระบบจะสามารถจำกัดการจองได้ โดยมอบให้ ททท. สำนักงานสาขาในประเทศ เป็นผู้ดำเนินการ และเพื่อป้องกันการขึ้นราคาห้องพักเกินจริง จึงให้มีการระบุในแบบฟอร์มยินยอม (consent) ให้ชัดเจน

หากโรงแรมที่พักเจตนาขึ้นราคาห้องพักเกินจริง สามารถเอาผิดเรียกเงินคืน และระงับการจ่ายได้ รวมทั้งต้องได้รับโทษถึงการตัดสิทธิในการเข้าร่วมทุกโครงการของรัฐบาล รวมทั้งจะมีระบบสแกนใบหน้าของผู้ใช้สิทธิในการเชคอินเข้าพักและการใช้ e-voucher เพื่อป้องกันการใช้บัตรประชาชนผู้อื่นสวมสิทธิ

 

2. โครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทย

เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศไทยกับนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศ ให้เดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มขึ้น วงเงินรวม 1,930.4348 ล้านบาท

แนวทาง การดำเนิน กิจกรรม

การกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทย จากต่างประเทศ โดยเน้นการนำเสนอ Soft Power ผ่าน Digital Market และกิจกรรมทางการตลาด
กระตุ้นท่องเที่ยวไทย เดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ (ไทยเที่ยวไทย) ให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวบ่อยครั้งขึ้น
การสื่อสาร และประชาสัมพันธ์ เผยแพร่และสร้างกระแส การเดินทางภายในประเทศ ภายใต้แคมเปน Amazing Thailand, Amazing New Chapters
การยกระดับคุณภาพสินค้า เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว
สำหรับพื้นที่ดำเนินการ คือ จังหวัดทั่วประเทศไทย ระยะเวลาดำเนินการในช่วงเดือน ก.พ.-ก.ย. 66 ซึ่งเป้าหมายของโครงการฯ เพื่อช่วยผลักดัน และสนับสนุนการสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวให้เป็นไปตามเป้า
หมาย 2.38 ล้านล้านบาท

การดำเนินโครงการอยู่ในช่วงระหว่างเดือน กุมภาพันธ์-เดือนกันยายน 66 ซึ่งเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างยิ่งเทศกาลสงกรานต์ และวันหยุดต่อเนื่องจากนักขัตฤกษ์ในเดือน พฤษภาคม,มิ.ย. และเดือนสิงหาคม ช่วยกระตุ้นรายได้ให้กับประเทศ ทำให้ระบบ เศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อเนื่อง รวมทั้งยังเป็น การช่วงชิงจังหวะในการแข่งขัน กับประเทศต่างๆ ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่ไม่รุนแรง และมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ ไม่มีข้อจำกัดด้วย

 

วิธี ลงทะเบียน เราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 www.เราเที่ยวด้วยกัน.com
วิธี ลงทะเบียน เราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 www.เราเที่ยวด้วยกัน.com

เปิดรายละเอียด-วิธีลงทะเบียนโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 จำนวน 5.6 แสนสิทธิ์ ลงทะเบียนที่เว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com ก่อนเริ่มใช้สิทธิ์ตั้งแต่ก.พ.-กันยายน 2566

ตามที่คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2566 อนุมัติโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 วงเงินรวม 2,016,000,000 บาท เพื่อดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยด้านการท่องเที่ยว โดยจะเริ่มให้ใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่กุมภาพันธ์-เดือนกันยายน 2566

ตลาดรถอีวีแข่งเดือด BYD เขย่าอีกรอบ แบรนด์ญี่ปุ่นปรับตัวจ้าละหวั่น
ทอท.สับเปลี่ยนเก้าอี้บอร์ด ตั้ง “พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช” นั่งกรรมการ
ครม.ไฟเขียว เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 เริ่มใช้สิทธิ กุมภาพันธ์ 2566
“ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 ดังนี้

รายละเอียด การใช้สิทธิ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5

โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 ให้สิทธิ์แก่ประชาชน ในการสนับสนุนการท่องเที่ยว ภายในประเทศ โดยภาครัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย 2 ส่วน คือ

สนับสนุนค่าที่พัก 40% (ไม่เกิน 3,000 บาท/ห้อง/คืน) สูงสุด 5 ห้อง
คูปองอาหาร/ท่องเที่ยว (e-voucher) 600 บาท/วัน
กำหนดจำนวนสิทธิเข้าโรงแรมที่พักจำนวนห้องพัก 560,000 สิทธิ์/ห้อง
1 คน สามารถใช้สิทธิ์ได้สูงสุด 5 สิทธิ์
จำนวนสิทธิ์ในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 นี้ จะไม่นับรวมกับสิทธิ์ที่เคยได้รับในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4

การลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 ผู้เข้าร่วมโครงการฯ มีดังนี้

ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป
ลงทะเบียนร่วมโครงการที่เว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com
ทำได้ทั้งผู้ใช้สิทธิ์รายใหม่ และผู้ใช้สิทธิ์รายเดิมที่เคยได้รับสิทธิ์ในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4
ผู้ใช้สิทธิ์รายเก่า : ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ และกดให้ความยินยอม (Consent) เพื่อรับสิทธิ์ได้ทันที
ผู้ใช้สิทธิ์รายใหม่ : ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ และยืนยันตัวตนตามขั้นตอน
ใช้สิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง”
ทำการจองห้องพักล่วงหน้าก่อนเดินทาง 7 วัน

แนวทางป้องกันการทุจริต เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5

สำหรับโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 ภาครัฐมีการวางทางป้องกันการทุจริต โดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สาขาในประเทศ สำหรับเพื่อการจัด ให้มีระบบแสดงจำนวนที่พักของแต่ละโรงแรม/ที่พัก หากมีการจองเกินจำนวนห้อง ที่แจ้งในระบบ ระบบจะสามารถจำกัดการจองได้

พร้อมทั้งจัดให้โรงแรม/ที่พักที่ร่วมโครงการ มีการเจาะจงคำยินยอม ในแบบฟอร์มให้ชัดเจน สำหรับในการป้องกันปัญหาการขึ้นราคาหอพักเกินจริง โดยหากโรงแรม ที่พักเจตนาขึ้นราคาห้องพักเกินจริง สามารถเอาผิดเรียกเงินคืน และหยุดการจ่ายได้ รวมทั้งต้องได้ต้องโทษถึงการตัดสิทธิในการเข้าร่วม ทุกโครงการของรัฐบาล

สำหรับการป้องกันการทุจริตในส่วนผู้ใช้สิทธิ์ จะมีการเรียบเรียงสแกนบริเวณใบหน้าของผู้ใช้สิทธิ สำหรับเพื่อการเช็กอินเข้าพัก และการใช้ e-voucher เพื่อป้องกันการ ใช้บัตรประจำตัวประชาชนผู้อื่นสวมสิทธิ

กราดยิงกลางงาน

ชุมชนเอเชียช็อก! กราดยิง กลางงานฉลองตรุษจีนในสหรัฐฯ เสียชีวิตอย่างน้อย 10 ราย

ชายคนหนึ่ง ก่อเหตุ กราดยิง ผู้คนเสียชีวิต 10 ราย และ บาดเจ็บอย่างน้อย 10 คน ในห้องบอลรูมแห่งหนึ่ง ระหว่างงานฉลองตรุษจีน ในช่วงค่ำ วันเสาร์ (21 ม.ค.) ใกล้ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ก่อนหลบซ่อนไปจากจุดเกิดเหตุ

มือปืน อยู่ระหว่างหลบหนี หลังจากก่อเหตุในเมืองมอนเทรีย์ พาร์ค รัฐแคลิฟอร์เนีย แล้วก็ อ้างอิงจากคำให้การของพวกผู้ที่เห็นเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายมั่นใจว่า ฆาตกรน่าจะเป็นชายชาวเอเชีย อายุระหว่าง 30 ถึง 50 ปี

“เรา จำเป็นต้องเอาตัวบุคคลรายนี้ ออกจากท้องถนนให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ” โรเบิร์ต ลูนา เจ้าหน้าที่รักษากฎหมายลอสแองเจลิส เคาน์ตี บอกกับผู้รายงานข่าว ระหว่างแถลงข่าวใน วันอาทิตย์ (22 เดือนมกราคม) ที่มอนเทรีย์ พาร์ค หนึ่งในชุมชนชาวอเมริกันเชื้อสายทวีปเอเชีย ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

ก่อนหน้านี้ ในตอนเวลาเช้าวันเดียวกัน หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ระบุ ยังไม่ทราบว่า การจู่โจมครั้งนี้มีสิ่งจูงใจด้านผิวสีหรือไม่ โดยในเหยื่อผู้ตาย 10 รายนั้น แบ่งเป็นชาย 5 คน แล้วก็ หญิง 5 คน แต่ไม่มีการเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม ต่อสาธารณะแต่อย่างใด

กราดยิงกลางงานฉลองตรุษจีน

จากเหตุ กราดยิง ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เผยแพร่ภาพผู้ต้องสงสัย ที่บันทึกไว้ได้โดยกล้องวงจรปิด

ประสบพบเห็นเขาสวมแว่นตา สวมเสื้อแจ็กเกตสีแก่ แล้วก็ หมวกไหมพรมสีแก่ลายขาว แล้วก็ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย กล่าวว่าพวกเขาเผยแพร่รูปถ่ายพวกนี้ ในความเพียรพยายามระบุตัวตน ของผู้ต้องสงสัย รวมทั้ง ระบุว่า ผู้ต้องสงสัยถูกดูในฐานะ “ติดอาวุธ และ อันตราย”

ช่วงสายของ วันอาทิตย์ (22 เดือนมกราคม) ห่างจากเมืองทอร์แรนซ์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ราว 34 กิโล ตำรวจใช้ยานยนต์หุ้มห่อเกราะหลายคัน ปิดล้อมรถตู้สินค้าสีขาวคันหนึ่ง ซึ่งบางทีอาจเกี่ยวเนื่องกับผู้ต้องสงสัย

เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เผยออกมาว่า พบชายคนหนึ่งที่คล้ายกับผู้ต้องสงสัยในทอร์แรนซ์ รวมทั้ง มีบุคคลรายหนึ่งอยู่ภายในยานพาหนะดังกล่าว “เราไม่ทราบสภาพของพวกเขา ซึ่งเขาอาจเป็นผู้ต้องสงสัยของเรา หรือไม่? มันก็มีความเป็นไปได้”

เวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่ กำลังสืบสาวว่า เรื่องหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในสถานที่เต้นรำ อีกแห่งในเมืองอาลัมบรา ที่อยู่ติดกันราว 20 นาทีถัดมา ในคืน วันเสาร์ (21 ม.ค.) มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรมหมู่ที่มอนเทรีย์ พาร์ค หรือไม่ หลังผู้รู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า พบเห็นชายชาวเอเชียคนหนึ่ง ถือปืนเข้าไปในงาน แต่ถูกเพื่อนร่วมงานช่วยกันตะครุบตัวไว้ ไม่มีการลั่นไกออกมา แล้วก็ ชายคนนี้หลบหนีไปได้

มีคนที่บาดเจ็บอย่างน้อย 10 รายถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลท้องถิ่น เพื่อรักษาการบาดเจ็บ และมีอย่างน้อย 1 คน อาการสาหัส ตำรวจไม่ได้เปิดเผยว่าคนร้ายใช้อาวุธปืนจำพวกใดในการก่อเหตุ

เหตุกราดยิงคราวนี้เกิดขึ้นตอน 22.00 น.ตรงเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเมืองไทย 13.00 น.วันอาทิตย์) ในเมืองที่มีการจัดงานฉลองวันตรุษจีน มีการปิดท้องถนนหลายสายในบริเวณใจกลางเมือง เพื่อจัดงานเฉลิมฉลอง ซึ่งเย้ายวนใจเพื่อนร่วมงานหลายพันคน มาจากเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย และ หลังจากเกิดเหตุ ตำรวจเปิดเผยว่าแผนงานฉลองสำหรับ วันอาทิตย์ (22 มกราคม) ถูกยกเลิก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เชสเตอร์ ชอง ประธานหอการค้าจีน แห่งลอสแองเจลิส บอกความหมายเมืองที่มีประชากรกร ราว 60,000 คน แห่งนี้ว่า เป็นสถาน ที่สงบเงียบ แล้วก็งดงาม ที่ทุก ๆ คนรู้จักกัน รวมทั้ง ช่วยเหลือกันและกัน

กราดยิง

เมืองแห่งนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณใจกลางลอสแองเจลิส ราว 11 กิโลเมตร เป็นที่รู้จักกันมานาน หลายทศวรรษ

ว่า เป็นจุดหมายปลายทางของคนเข้าเมืองจากจีน โดยในบรรดาประชากรทั้งหมดนั้น มีถึง 65% ที่เป็นชาวเอเชีย แล้วก็ เมืองแห่งนี้ ยังขึ้นชื่อด้านการมีร้านอาหารจีน และก็ ร้านขายของชำจีนเป็นจำนวนมาก “ผู้คนที่โทร. หาผมเมื่อคืนนี้ พวกเขาหวั่นกลัว ว่ามันอาจเป็นอาชญากรรมจากความเกลียดชัง” ชอง กล่าว

ตำรวจไม่ได้เปิดเผยชื่อสมาคมเต้นรำแห่งนี้ แต่พบเจอเจ้าหน้าที่เข้า ๆ ออก ๆ “สตาร์บอลรูม แดนซ์ สตูดิโอ” ซึ่ง ปากทางเข้าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ใช้เทปขวาง คลับแห่งนี้เปิดบริการมาตั้งแต่ปี 1990 และก็ บนเว็บไซต์ของพวกเขาเป็นรูปงานฉลองเทศกาลวันตรุษจีนปีที่ผ่าน ๆ มา ซึ่งประสบพบเห็นเพื่อนร่วมงานยิ้มแย้ม และก็เต้นรำ ในชุดปาร์ตี้ ในห้องบอลรูมขนาดใหญ่ รวมทั้ง ประดับไฟสว่างไสว

คุณครูราน หนึ่งของสมาคมเต้นรำแห่งนี้ ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ เล่าว่า ลูกค้าส่วนมากเป็นวัยกลางคน หรือ สูงอายุ แต่มีเด็กเข้าร่วมในคลาสสอนเต้น สำหรับเยาวชนเช่นเดียวกัน

ใบปลิวที่โพสต์บนเว็บ เป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ งานปาร์ตี้ วันตรุษจีน ในคืนวันเสาร์ (21 ม.ค) เริ่มตั้งแต่เวลา 19.30 น. ถึง 00.30 น.

ทำเนียบขาวเผยว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้รับฟังรายงานสรุปเกี่ยวกับเหตุจู่โจมคราวนี้แล้ว แล้วก็ได้สั่งให้ เอฟบีไอ เข้าช่วยเหลือตำรวจท้องถิ่น

เหตุกราดยิงกลับมาเกิดขึ้นบ่อยครั้งในสหรัฐฯ และเหตุจู่โจมในมอนเทรีย์ พาร์ค ถือเป็นการกราดยิงเข่นฆ่าชีวิตคนเรามากมายที่สุด นับตั้งแต่ พฤษภาคม 2022 โดยครั้งนั้นมือสังหารฆ่าผู้เรียน 19 คน และก็ คุณครู 2 ราย ที่สถานศึกษาแห่งหนึ่ง ในเมืองอูวัลเด รัฐเทกซัส

ส่วนเหตุกราดยิงที่นองเลือดที่สุด ในประวัติศาสตร์ของแคลิฟอร์เนีย เกิดขึ้นในปี 1984 โดยมือปืนลงมือสังหารผู้คนไป 21 ราย ที่ร้านค้าแมคโดนัลด์ สาขาหนึ่งในเมือง ซานอิซิโดร ใกล้กับซานดิเอโก

(ที่มา : รอยเตอร์)

ดิว

“ดิว อริสรา” แจงออกมาแฉ 4 พี่น้อง บ. เพราะอยากเป็นกระบอกเสียง ไม่ปล่อยผ่านกับเรื่องที่ผิดจนกลายเป็นปกติในสังคม

หลังจากออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก แฉ 4 พี่น้อง บริษัท ทำธุรกิจเว็บพนันใหญ่ พร้อมบอกฝากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สปายทำงานกันด้วย ก็ทำเอา “ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์” เป็นเป้าสงสัย ว่าที่เจ้าตัวออกมาโพสต์อย่างงี้ ไม่กลัวมีปัญหาเหรอ แล้วก็ ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยต่างออกมาตั้งข้อสังเกตว่า เป้าประสงค์ในคราวนี้ของดิว คืออะไรกันแน่ ปัจจุบัน ดิว อริสรา ได้ออกมาแจกแจง ผ่านเฟซบุ๊กอีกครั้งว่า….

“สวัสดีค่ะ นับเป็นเวลาหลายวันที่ดิวหายไป มิได้มีโอกาสออกมาพูด หรือ แจกแจงอะไรเพราะ ดิวติดธุระส่วนตัว และก็ มีหลายอย่างที่จะต้องจัดเตรียมให้เป็นระเบียบ

วันนี้มีเวลา เลยขออนุญาต มาชี้แจงปัญหา และก็ ตอบคำถามบางคำถาม ผ่านทาง Facebook ส่วนตัว เพื่อจะได้ไม่เป็นการก่อกวนคนที่อยู่รอบข้างตัวดิว ให้จำต้องมานั่งตอบปัญหาต่าง ๆ พวกนั้น

(ยาวหน่อยนะคะแต่อยากให้อ่านให้จบ)

เริ่มแรก ดิวจำเป็นต้องขอบพระคุณ สำหรับความกังวล ทั้งจากคนที่รู้จัก และ ไม่รู้จักสำหรับเพื่อการกระทำคราวนี้ ที่ดิวออกมาโพสต์แชร์ข้อมูลต่าง ๆ (เป็นความจริง) ขอบคุณมากจากใจมาก ๆ นะคะ แต่ดิวอยากจะกล่าวว่า ดิวคิดทบทวนใคร่ครวญมาอย่างดีแล้ว และก็ ในตอนนี้ ดิวมีความสุข ปลอดภัยดี สามีดิว ตัวดิว ครอบครัวเราทำอาชีพปกติ เงินสะอาด และ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง หลบซ่อน หรือ กล่าวง่าย ๆ คือ บ้านพวกเราไม่มีอะไรที่ผิด ให้ย้อนกลับมารังแกพวกเราได้เลย และก็ ดิวมิได้จะไม่กลับประเทศไทยนะคะ กลับแน่นอน ดิวขอขอบพระคุณทุก ๆ ความกังวล แล้วก็ ความห่วงใยในความปลอดภัยของดิว รวมทั้ง ครอบครัวนะคะ

แฉ 4 พี่น้อง

จากการกระทำของดิว … ดิว ไม่ได้ต้องการความอวยยศ ชื่นชม ยกยอ และขอชี้แจง กรณี แฉ 4 พี่น้อง ตรงนี้ว่า

ดิวมิได้ทะเลาะกับใคร และ ไม่ได้ต้องการอะไรจากใคร จากในสิ่งที่บอก ไปมากกว่า ด้วยวัน รวมทั้ง ในเวลาที่เห็นสมควร และ ขอเป็นกระบอกเสียง ๆ หนึ่ง ที่ไม่ต้องการเพียงแค่เป็นคนที่ รับทราบ เห็น รวมทั้งปลดปล่อยผ่าน กับเรื่องที่ผิด รวมทั้งปล่อยผ่านมันไป จนกระทั่ง เรื่องที่ผิด กลายเป็น เรื่องปกติ ที่สังคมเห็นว่าทั่วๆไป กระทั่งมันกลายเป็นคำว่า “ผิด” เป็น “ถูก”

สำหรับเรื่องราวในอดีต ของดิวกับใคร อดีต คือ อดีต ที่ดิวผ่านมา รวมทั้งดิวไม่ขอโทษใคร ไปมากกว่าตัวเอง ไม่มีความจำเป็นต้องเอ่ยถึง คิดกันไปไกล

เพราะว่าประเด็นมัน คือแค่ สิ่งที่ดิวทำ ดิวมีคำถามที่มีในใจตัวเองตลอดมาว่า หากพวกเราทราบ พวกเราเห็นว่า อะไรที่มัน ไม่ดี ไม่ถูก ไม่ควร ผิดที่ผิดทาง รวมทั้งเราปล่อยมันไป ปล่อยมันไว้ แล้วเมื่อใดอะไร ๆ ในสังคม และ สิ่งที่เราต้องอยู่ มันจะดีขึ้นสักที

ดิวมั่นใจว่า ในมุมมองผู้คนจำนวนมาก บางสิ่งบางอย่างบางอย่าง มันเรื่องที่เปลี่ยนยาก แต่หากไม่เริ่ม มันก็คงไม่มีวันเปลี่ยน รวมทั้ง เราจึงควรอยู่กันอย่างนี้ จริงหรอ? ปัญหาคือ ถ้าหากจริง เด็ก หรือใครก็ตามที่เติบโตมา และต้องอยู่ในสังคม ที่มีอะไรแบบงี้ มันจะสิ้นหวังขนาดไหน

หากผู้ที่ทำผิด มีชีวิตที่ดีเปิดเผยตัวเอง ออกหน้าแบบปกติทั่วๆไป คนที่ปฏิบัติดีทำถูก หาเลี้ยงชีพซื่อตรง สู้กับชีวิตไปแต่ละวัน จะท้อแท้มากแค่ไหน เพราะเหตุว่าดีเท่าไร มันก็อาจจะไม่ทัน คนที่ทำผิด รวมทั้ง รวยทางลัด กับสิ่งที่ผิดอยู่ดี

ชีวิตมนุษย์บางทีก็อาจจะอยู่ที่ช่องทาง และก็โอกาสแต่ละคน มีแตกต่าง แต่ดิวเชื่อว่าคนทุกคนต้องการปฏิบัติดี ให้ยอดเยี่ยมให้กับชีวิตตนเองอยู่แล้ว คนทุกคนเลือกได้… คำถามคือ สำหรับคนที่ทำผิด ที่ทราบดีว่าสิ่งที่ทำมันผิด และก็ ยังเลือกทำผิดกันทั้งครอบครัว และ กล้าดำเนินชีวิตแบบคนทั่วไป ในแบบอย่าง “รวยผิดปกติ” มันถูกต้อง ถูกที่ ถูกทางแล้วเหรอ

อย่างไรก็ตาม ดิวเชื่อ รวมทั้งมีหวังว่า กระบวนการยุติธรรม รวมทั้ง ตำรวจไทย เก่ง มีความรู้ความสามารถ และความเป็นธรรมมากพอ ที่จะจัดแจง แก้ไข เปลี่ยนในอะไรที่ผิด ให้อยู่ถูกที่ ดิวเชื่อแบบงั้นนะ จากข่าวสารก่อนหน้านี้ แล้วก็ความเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ เรื่องก่อนหน้านี้ ของประเทศพวกเรา

ดิว แจง

สุดท้าย ดิวอยากบอกทุกคนที่เป็นห่วงดิว ให้เข้าใจดิวว่า

ข้อคิดเห็นในด้านลบ หรือ โพสต์ต่าง ๆ ที่ออกมาตีกลับจากสิ่งที่ดิวทำ มันไม่ได้ทำให้ดิวรู้สึกอะไร เพราะเหตุว่ามันเป็นเรื่องปกติ ที่ เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ ดิวเข้าใจความจริงนี้ดี และไม่ขอสนใจ เพราะว่าดิว มีจุดยืน แล้วก็เข้าใจตนเองมากพอ

ดิวทราบดีว่าสิ่งที่ทำมันค่อนข้างจะเสี่ยง

เพราะ 4 พี่น้อง มีคนนึงเป็นตำรวจ ที่ใช้เส้นเข้าไป ก็นับว่าเป็นผู้มีอิทธิพล ตำรวจที่ขับรถสปอร์ตไปปฏิบัติงาน แต่หากตัวดิวไม่เสี่ยงทำ ทุกอย่างก็คงไม่มีอะไร ที่แปลงแต่กลับแย่ลง

ขอบคุณทุกความสนใจ ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจ ขอบคุณทุกคน ที่ชื่นชม ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง ขอบคุณจริง ๆ

ขอฝากความหวัง แล้วก็เป็นกำลังใจให้กับพี่ ๆ อา ๆ ตำรวจไทย รวมทั้ง สายลับโซเชียล คนเก่งทั้งหลาย ช่วยกันทำงาน แล้วก็สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกับสังคมไทยนะคะ

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ ฝากแชร์ด้วยคะ

ปล. สำหรับผู้ที่มองดู แล้วก็สนใจประเด็น สำหรับในการโพสต์ของดิว ให้มุมมองอื่น ดิวแค่ต้องการจะบอกว่า สิ่งที่สนใจ มันมิได้ทำให้เกิดผลดีอะไร แต่สิ่งที่ดิวสื่อ ถ้าเกิดมันได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง มันจะเกิดคุณประโยชน์ ต่อสังคมแน่ๆค่ะ”

กัญชาเสรี บุกโรงเรียน

ทำอย่างไรดี เมื่อ “กัญชาเสรี” บุกโรงเรียน

วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ถือเป็นวัน “ปลดล็อกกัญชา” ของประเทศไทย “กัญชาเสรี” หลังจาก กระทรวงสาธารณสุข ประกาศว่า กัญชาไม่ใช่ “ยาเสพติด” ทั้งยังยกเลิกความผิดฐานผลิต นำเข้า ส่งออก มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพหรือจัดจำหน่าย รวมถึงการเสพหรือการสูบ ซึ่งสร้างความไม่ค่อยสบายใจให้กับหลายฝ่าย เพราะเหตุว่าไม่มีการเตรียมมาตรการทางกฎหมาย เพื่อจัดการกับคำตอบที่จะตามมา

หลังจากประกาศปลดล็อกกัญชา ก็มีข่าวการใช้กัญชาที่มีผลเสียต่อร่างกายผู้ใช้อย่างมากมาย ทำให้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร ประกาศให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพฯ เป็น “เขตปลอดกัญชง – กัญชา” ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เหมือนกันกับตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ประกาศว่าโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการจะต้องเป็น “โรงเรียนปลอดกัญชา”

ความพยายามสำหรับการขัดขวางกัญชาในโรงเรียนที่สวนทางกับ “เสรีกัญชา” นอกรั้วโรงเรียน ทำให้การสั่งห้าม เป็นเรื่องยาก และกลายเป็นความกลุ้มอกกลุ้มใจที่ “อาจารย์” ต้องหาทางจัดการกับกัญชา ที่ไหลบ่าเข้ามาในโรงเรียน

ด้วยเหตุนี้ ก็เลยทำให้คุณครูหลายๆคนจับกลุ่ม “คุยสถานการณ์กัญชาเสรีในโรงเรียน” เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนปัญหาเรื่องกัญชาในโรงเรียน ที่อาจจะกลายเป็นปัญหาขยายใหญ่โต หากว่าไม่มีมาตรการรับมือที่ชัดเจน

 

กัญชาเสรีในโรงเรียน
เหตุการณ์ กัญชาเสรี ในโรงเรียน

อาจารย์หลายๆคนเริ่มสะท้อนว่า ก่อนที่จะมีการปลดล็อก ตามประกาศกฎหมาย กัญชาเสรี ก็พบเจอกับปัญหา เด็กนักเรียนแอบใช้กัญชาอยู่บ้าง รวมไปถึงสารเสพติดอื่นๆ ซึ่งส่วนมากจะมีสาเหตุจากเด็กนักเรียนอยากรู้อยากลอง โดยเด็กนักเรียนที่ใช้กัญชาจะมีลักษณะง่วง หลับในห้องเรียน และไม่พร้อมที่จะศึกษา ขณะที่อาจารย์มักจะใช้ กรรมวิธีติเตียน ซึ่งทำให้นักเรียนไม่ต้องการที่จะอยากมาเรียน เนื่องจากว่ารู้สึกขายขี้หน้า และหวาดกลัว

จากการสังเกตของครูหลายคน ตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ที่กินเวลากว่า 2 ปี พบว่าพฤติกรรมลักขโมยของ และใช้กัญชาในเด็กนักเรียนมีมากขึ้น รวมทั้งได้รับแจ้งข้อมูลว่า มีเด็กเข้าไปเกี่ยวข้องกับ กัญชา ในทุกระดับชั้น และชั้นที่อายุน้อยที่สุดได้รับแจ้งเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

ถึงแม้ว่าคุณครูจะต้องรับมือกับปัญหา กัญชา และพยายามหาทางแก้ไขการใช้กัญชา ของผู้เรียน แต่อาจารย์ที่ร่วมวงพูดคุย ก็สะท้อนว่า การเป็นอาจารย์เหมือนอยู่ที่เปลือกของปัญหา เพราะการเข้าถึงรากของปัญหา จำเป็นต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สำหรับโรงเรียนที่ถึงจะถูกระบุว่า เป็นสถานที่ที่ราชการ และไม่อนุญาตให้นำกัญชาเข้ามา แต่เมื่อเด็กนักเรียนก้าวเท้าออกมาจากโรงเรียน ก็สามารถพบเจอการซื้อขายกัญชาได้อย่างสะดวกสบาย จึงทำให้ปัญหาการใช้กัญชา ในโรงเรียนกลายเป็นปัญหาที่ไม่สามารถที่จะสามารถควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ปัญหาที่คุณครูต้องเผชิญ

ปัญหาข้อหนึ่งที่ครูสะท้อน เป็นการเข้าถึงสื่อที่ง่ายเหลือเกิน โดยเฉพาะ TikTok ที่เด็กนักเรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลเรื่องกัญชาได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว แต่ข้อมูลที่ปรากฏกลับกลายข้อมูลด้านเดียวที่ระบุว่า การใช้กัญชาจะมีผลให้จิตใจเบิกบาน ช่วงเวลาเดียวกันคุณครูเองก็ขาดความรู้เรื่องกัญชา หรือเรื่องหลักพิษวิทยาของกัญชา ทำให้ครูปราศจากความพร้อมสำหรับเพื่อการสอน หรือจัดการกับเด็กที่ใช้สารเสพติด

ในทางกลับกัน คุณครูนิดหน่อยที่ตระหนักถึงจุดสำคัญของการสอนเรื่องข้อดี-จุดอ่อนของกัญชา และพยายามเชิญเด็กนักเรียนสนทนาแลกเปลี่ยนแปลง เรื่องกัญชาในคาบเรียน กลับมิได้รับการส่งเสริมหรือไม่มีครูท่านอื่นร่วมด้วย เนื่องจากฝ่ายกิจการเด็กนักเรียนคิดว่าการสอนเรื่องกัญชาเป็นเรื่องเฮฮา และไม่ใส่ใจที่จะให้ความรู้

เหมือนกัน แม้นักเรียนจะมีความสนใจเรื่องนี้อย่างมาก แต่ก็ไม่อาจจะเข้าถึงความรู้เรื่องกัญชาได้ ด้วยเหตุว่าขัดกับหลักโรงเรียนคุณธรรม

คุณครูหลายๆคนชี้ว่า ปัญหาที่มีความสำคัญที่สุดของสถานการณ์กัญชาในโรงเรียน เป็นแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางของสังคม และนโยบายกัญชาเสรีของภาครัฐ ทำให้ครูทำงานทุกข์ยากลำบาก ครูราวกับตกอยู่ในสถานการณ์ออกรบแต่ไร้อาวุธ ตั้งแต่ไม่มีสื่อการสอนเรื่องกัญชาที่เป็นกลาง ที่แสดงทั้งด้านดี และด้านเสียของการใช้กัญชา ไปจนถึงกรรมวิธีการต่อกรกับเด็กที่ใช้กัญชาอย่างถูกต้อง และไม่ตัดทอนความเป็นมนุษย์ของเด็กนักเรียน

นอกเหนือจากนี้ ภาระงานอื่นๆเยอะแยะที่นอกเหนือจากการสอน ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้คุณครูผู้คนจำนวนมากเลือกที่จะละเลยต่อเด็กที่มีปัญหา หากแม้คุณครูรุ่นใหม่จะพยายามเข้าไปเปลี่ยน แต่แรงกระแทกจากคำสั่งกระทรวงฯ ผู้อำนวยการ เพื่อนคุณครู หรือผู้ปกครอง ก็นำมาซึ่งการทำให้คุณครูผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยยอมแพ้ไปในที่สุด

 

กัญชาเสรี
ทางออกสำหรับทุกคน

ครูที่ร่วมวงคุยสะท้อนว่า ทางออกของหลักสำคัญกัญชาเสรีในโรงเรียนเป็น สร้างการศึกษาที่เปิดกว้าง ให้เด็กนักเรียนได้ตั้งข้อซักถามกับการใช้กัญชา สร้างโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ และเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง รวมถึงสร้างโอกาสให้ มีการติดต่อระหว่างนักเรียน ครู และผู้บริหาร เหมือนกับการผลิตสื่อการสอนที่เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เอ๋ยถึงข้อดี – ข้อตำหนิของการใช้กัญชาอย่างตรงไปตรงมา และสามารถเข้าถึงข้อมูลกลุ่มนี้ได้ง่าย

ทั้งนี้ การผลิตวัฒนธรรมหน่วยงานที่ “รับฟังนักเรียน” จะเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในระยะยาว โดยอาจารย์ที่ร่วมกลุ่มพูดคุยให้ความเห็นว่า โรงเรียนไม่มีระบบที่เข้ามารองรับและช่วยเหลือ นักเรียนที่ใช้สารเสพติด เหมือนกับการติดต่อสื่อสารกับเด็กนักเรียนกลุ่มนี้ก็เป็นไปได้ยาก เพราะเหตุว่าอาจารย์กับนักเรียนใช้คนละภาษา

นอกเหนือจากนั้น ค่านิยมของโรงเรียนก็ตัดสินว่านักเรียนที่ใช้สารเสพติดเป็นคนไม่ดี คุณครูก็เพ่งเล็งว่านักเรียนคนนั้นๆเป็นเด็กเกเร เพื่อนร่วมชั้นก็ไม่ยอมรับ ซึ่งทั้งหมดล้วนนำมาซึ่งการทำให้การเห็นคุณค่าในตัวเอง และกลับตัวกลับใจให้ดีขึ้น ของนักเรียนคนนั้นเกิดได้ยากขึ้นกว่าเดิม

ด้วยเหตุนี้ การทำงานกับความเชื่อถือของอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้น ก็เลยเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพื่อทำให้นักเรียนมีคนที่สามารถไว้ใจและพูดคุยได้ ซึ่งจะมีผลให้เด็กนักเรียนรู้สึกไม่เป็นอันตราย เกิดความเชื่อถือและเชื่อใจ ก่อให้เกิดความรู้สึกเชื่อมั่น และสะท้อนการเห็นคุณค่าในตัวเอง ที่เยอะขึ้นเรื่อยๆ

สุดท้ายคือความรับผิดชอบของภาครัฐ ที่ควรจะมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อช่วยเหลืออาจารย์ในสถานศึกษาที่กำลังต่อกรกับปัญหาด้านการใช้กัญชาของเด็กนักเรียน รวมไปถึงหลักการที่จะช่วยอุดรอยรั่วของนโยบายกัญชาเสรี เพื่อคุ้มครองป้องกันเด็กนักเรียนจากการใช้กัญชาโดยไม่ตระหนักถึงจุดบกพร่องของมัน เหมือนกันกับป้องกันไม่ให้เกิดคือปัญหาที่จะถั่งโถมเข้าใส่อาจารย์ จนกระทั่งอาจารย์รู้สึกหมดพลังกับการแก้ปัญหารายวัน และตัดทอนศรัทธาของครูที่ตั้งอกตั้งใจมาให้ความรู้ความเข้าใจกับนักเรียน

จิ๊บ คีตภัทร อันติมานนท์

"จิ๊บ คีตภัทร" ขอเคลียร์ ปมคลิปฉาว ยันไม่ใช่ตัวเอง ฟ้องแน่ ทำเสียหาย

ดาราหนังสาวยุค 90 “จิ๊บ คีตภัทร อันติมานนท์” โพสต์ IG ชี้แจงเรื่องข่าวหลุด ที่หลายคนเดาว่าเป็นตัวเอง ยืนยันไม่ใช่ ด้วยเหตุว่ามาหาครอบครัว ที่สหรัฐฯ ลั่นดำเนินดคีแน่ๆ ฐานทำให้ตนเกิดความเสียหาย ยันไม่ใช่ นางเอก จ. ถูกปล่อยคลิปลับ เจอเรียกเงิน 4 แสน จ่อเอาผิด คนกุข่าวมั่ว ทำเสียหาย เพื่อรักษาสิทธิ และความถูกต้องให้ถึงที่สุด

เป็นประเด็นร้อน กระเทือนวงการบันเทิง ภายหลังที่ผู้ใช้แอปพลิเคชั่น TikTok รายหนึ่ง ได้ออกมาอ้าง เปิดเผยข้อความว่า “มีข่าวหลุด!! อดีตนางเอกดังช่องหลายสี แอบไปซื้อชายหนุ่มนอกวงการกิน แล้วโดนชายหนุ่มอัดคลิป แบล็กเมล์ เรียกเงิน 4 แสน ล่าสุดมีคลิปหลุดออกมา เร็ว ๆ นี้ เจ้าตัวจัดเตรียมแถลงข่าวแน่ๆ” ถัดมา ก็ได้โพสต์อีกว่า

“โดนแล้ว! อดีตนางเอกดัง ช่องหลายสี ชื่อย่อ จ. เข้าแจ้งความเอาผิดชายหนุ่มนอกวงการ หลังขายคลิปตัวเอง ที่กำลังมีอะไรกัน ให้กลุ่มลับ กลุ่มหนึ่ง ในราคา 4 แสนบาท ซึ่งความยาวคลิปเต็ม 21 นาที มองเห็นหน้าตนเองชัดเจน เลยทำให้เกิดความเสียหาย เจ้าตัวลั่น ไม่ยอมความ พร้อมเอาเรื่อง ให้ถึงที่สุด” จนกระทั่งทำให้เกิด การคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา ว่าอดีตนางเอก จ. ช่องหลากสี นั้นคือใครกันแน่ ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็มีชื่อของ “จิ๊บ – คีตภัทร อันติมานนท์” ดาราสาว ยุค 90 ผุดขึ้นมา ว่าใช่หรือไม่

จิ๊บ คีตภัทร โพสต์ IG ชี้แจง

ล่าสุด วันนี้ (13 มกราคม 2566) “จิ๊บ” ได้ออกมาชี้แจงประเด็น ที่ถูกโยง ผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว

ยืนยันว่า ไม่ใช่คนในข่าวอย่างแน่นอน พร้อมจะฟ้องตามกฎหมาย กับผู้ที่ทำให้เจ้าตัว และ ครอบครัว ได้รับความเสียหาย โดยบอกว่า

“ขออนุญาตชี้แจงข่าวที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้นะคะ ว่าไม่ใช่จิ๊บแน่นอนค่ะ

จากข่าวที่มีการใช้ชื่อหรือเจตนาใช้ภาพจิ๊บซึ่งทำให้ เกิดความเข้าใจผิดและเสียหายต่อตัวจิ๊บ ครอบครัว และแฟนเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เป็นความจริง ไม่ได้เกิดเรื่องและไม่ได้มีการไปแจ้งความดำเนินคดีใดๆ อย่างในข่าว จิ๊บมาหาครอบครัวที่อเมริกาเป็นเวลา 3 เดือนแล้วค่ะ

อยากขอให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการเสพข่าวส่วนผู้ที่ทำให้จิ๊บและครอบครัวได้รับความเสียหาย จะขอดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อรักษาสิทธิ และความถูกต้องให้ถึงที่สุด ขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่ส่งเข้ามานะคะ”

พร้อมเขียนแคปชั่นใต้โพสต์ด้วยว่า “ขออนุญาตชี้เเจงข่าวที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้นะคะ ว่าไม่ใช่จิ๊บเเน่นอนค่ะ”

โดยมีแฟนๆ ต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็น รวมทั้ง ส่งกำลังใจ ให้สาวจิ๊บ อย่างล้นหลาม มากมาย

ทำเอาโลกออนไลน์ร้อนแรงอย่างมากมาย หลังจากก่อนหน้าที่ผ่านมา มีข่าวโคมลอยแรง ว่ามีอดีตนางเอก จ. ช่องหลากสี ถูกขู่ ปล่อยคลิปลับ คลิปฉาว เรียกเงิน 4 แสนบาท ซึ่งหลายคนก็เดาไปเรื่อยๆ รวมทั้ง ในที่สุดหลายท่านมาพุ่งเป้า ที่อดีตนางเอกชื่อดัง จิ๊บ-คีตภัทร อันติมานนท์ ที่ถูกโยงว่า เป็นคนภายในคลิปฉาว ทำเอาเขาเสื่อมเสียชื่อเสียงขึ้นมาทันที

จิ๊บ คีตภัทร

เปิดประวัติ “จิ๊บ คีตภัทร” สาวสวยฝีมือดี ที่คนอยากรู้จัก ให้มากขึ้น

ความคืบหน้าล่าสุด ในโลกออนไลน์ มีผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อย สอบถามมาจำนวนมาก ว่าสาวจิ๊บ ประวัติมีอะไรยังไงบ้าง บ้างก็บอกว่าสวยเด่น อยากรู้งานก่อนหน้านี้ จะได้ไปดูย้อนหลัง งานนี้พวกเราเลยไม่พลาด มาอัพเดทให้แล้วจ้า…

คีตภัทร อันติมานนท์ ชื่อเล่น จิ๊บ เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2527 เป็นนักแสดงในสังกัดดาราวิดีโอและสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 จิ๊บเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัวอันติมานนท์ จิ๊บเป็นนักแสดงสาวชาวไทย ซึ่งเป็นน้องสาวของนักแสดงชายคือ จิม-เจจินตัย แวนดิว นั่นเอง…

โดยจิ๊บเริ่มเข้าสู่วงการสายบันเทิงไทยเป็นนักแสดงมีผลงานเรื่องแรกเช่น กว่าจะรู้เดียงสา แสดงคู่กับ วี-วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ เป็นที่รู้จักในบทบาท แว่นทิพย์ ซึ่งเป็นนางเอกในละครหลังข่าวเรื่องแรกเมื่อในปี 2543 และละครเรื่อง เจ้าสัวน้อย และผลงานที่แสดงคู่กับ วี-วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ อีกหนึ่งเรื่องละครเรื่อง ลูกหลง ทำให้คีตภัทรเป็นนักแสดงที่รู้จักกันและมีชื่อเสียงในยุคนั้น ต่อมาจิ๊บรับงานละครหลายๆเรื่อง และเป็นการพลิกบทบาทเป็นนางร้ายและเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพและมีความสามารถด้านการแสดงอีกคับคั่ง

สำหรับผลงานโดดเด่นของสาวจิ๊บนั้นมีมากมายหลายเรื่อง อาทิ กว่าจะรู้เดียงสา, กามเทพลวง, ลูกหลง, เบญจา คีตา ความรัก, รักล้นซอย, ยอดชายนายโข่ง, ทิวลิปทอง เป็นต้น

ผลงานเพลงประกอบละคร เพลง ดนตรีในหัวใจ เพลงประกอบละครเบญจา คีตา ความรักขับร้องร่วม เพลง เพื่อวันที่ดีกว่า เพลงประกอบละครเบญจา คีตา ความรักขับร้องร่วม

ในปัจจุบันนี้นอกจากงานในวงการบันเทิงแล้ว ยังทำงานมีธุรกิจส่วนตัว รวมไปถึงเธอยังมีธุรกิจส่วนตัวควบคู่ไปด้วย และนอกจากนั้นเธอยังเป็นพาร์ทเนอร์ร้านอาหารไทยที่ชื่อ Noi Thai Cuisine Greenlake ที่ Seattle ประเทศสหรัฐอเมริกา อีกด้วย

อดีตรองนายกฯ แจ้งความเท็จ

อดีตรองนายกฯ แจ้งความเท็จ ทนายตั้มพบตร. ท้าชนคดีฉ้อโกง แฉเพิ่งหย่าเมีย

“ทนายตั้ม” ควงนาย ก.ลูกความ สามี ที่ยื่นฟ้องหย่าภรรยาและก็ฟ้องอดีตรองนายกฯ ย.คบชู้ ขึ้นโรงพักบางยี่ขันแจ้งความดำเนินคดี อดีตรองนายกฯ แจ้งความเท็จ หลังจากถูกดำเนินคดีร่วมกับภรรยาและพ่อแม่ฝ่ายหญิงข้อหาร่วมกันฉ้อโกง โวยให้การเรื่องทรัพย์สินที่ให้ฝ่ายหญิงเกินจริง อาทิเช่น คอนโดมิเนียมที่ซื้อมาตั้งแต่ปี 62 ก่อนคบชู้ปี 64 แถมแฉว่าอดีตรองนายกฯเพิ่งพาเมียจดทะเบียนไปหย่า อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ตอนวันที่ 9 เดือนมกราคม ก่อนเรื่องจะแดงขึ้นมา

ด้านอัยการแถลง ทนายตั้มร้องขอความเป็นธรรมคดี นาย ก.โดนคดีร่วมกันฉ้อโกง สั่งประเด็นให้ตำรวจสืบสวนเพิ่มเติม ถ้าหากฟ้องไม่ทันครบฝากขังวันที่ 15 ม.ค. ผู้ต้องหาจะพ้นการควบคุมของศาล แต่ว่าหลังสำนวนเสร็จสิ้นขออนุญาต อสส.ฟ้องได้

กรณี “ทนายตั้ม” นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ออกมาเปิดประเด็นสร้างความฮือฮาในสังคม รับมอบอำนาจจากสามีชื่อย่อ ก. เป็นโจทย์ฟ้องแพ่งเรียกค่าตอบแทนจากอดีตรองนายกรัฐมนตรีชื่อย่อ ย. แล้วก็ฟ้องหย่าภรรยาของตนเองต่อศาลเยาวชนและก็ครอบครัวกลางตั้งแต่เดือน ธ.ค.65 กรณีคบชู้กัน

อ้างว่ามีหลักฐานทั้งข้อความพูดคุยแล้วก็ภาพถ่ายวาบหวิวระหว่างอยู่ด้วยกันเป็นหลักฐาน ต่อมาอดีตรองนายกฯ ย. เข้าแจ้งความร้องทุกข์พนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน ดำเนินคดี นางสาวธ. ภรรยา นาย ก.สามี และพ่อแม่ฝ่ายหญิง ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ตำรวจมีความเห็นสั่งฟ้องส่งสำนวน ให้พนักงานอัยการตลิ่งชัน 2 อยู่ระหว่างพิจารณาสั่งคดี

ความคืบหน้าจาก สน.บางยี่ขัน เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 เดือนมกราคม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน พร้อมด้วยนาย ก. (นามสมมติ) อายุ 35 ปี สามีของหญิงสาวอายุ 25 ปี ที่ตกเป็นข่าวฉาวคบชู้กับอดีตรองนายกรัฐมนตรีชื่อย่อ ย. เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.ท.น่านนที บูรณะ รอง สว. (สอบสวน) สน.บางยี่ขัน ดำเนินคดีกับอดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ข้อหาแจ้งความเท็จ กรณีอ้างว่า สูญเงินค่าสินสอดสู่ขอฝ่ายหญิงเป็นจำนวนเกือบจะ 20 ล้านบาท

 

ทนายตั้ม

นายษิทรากล่าวว่า วันนี้ตนพานาย ก. มาแจ้งความดำเนินคดีกับอดีตรองนายกรัฐมนตรีเรื่องแจ้งความเท็จ

เนื่องจากว่าให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวนเรื่องการสู่ขอฝ่ายหญิงหรือมีการหมั้น แต่ว่าไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง มั่นใจว่าเป็นการแต่งเติมข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้าข้อกฎหมาย เพื่อตนเองเรียกทรัพย์สินคืนจากฝ่ายหญิงได้

อดีตรองนายกฯมีภรรยาที่จดทะเบียนอยู่ด้วยกันมาเป็น 10 ปีมาตลอด นอกเหนือจากนั้น กรณีให้เงินไปซื้อคอนโดมิเนียมก็ไม่ใช่เรื่องจริง ตนมีหลักฐานกรรมสิทธิ์รวมทั้งทรัพย์สินต่างๆ ที่บอกว่าให้ฝ่ายหญิงก็ไม่ใช่ความจริง หลักฐานกรรมสิทธิ์การซื้อคอนโดฯ ตั้งแต่ปี 2562 แต่ว่าอดีตรองนายกฯพึ่งจะมารู้จักฝ่ายหญิงเมื่อปี 2565 ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินส่วนนี้แน่นอน พร้อมแสดงหลักฐานหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดย่านวงเวียนใหญ่ ขนาด 35 ตารางเมตร จดจำนองตั้งแต่ปี 2562 ก่อนที่ทั้งสองคนจะรู้จักและคบชู้กัน

“ส่วนเงินที่อ้างว่าให้ฝ่ายหญิงก็ไม่มีหลักฐานการเบิกถอน เชื่อว่าอาจมีการให้จริงแต่ไม่ถึงหลัก 10 ล้านบาท แต่ให้บ้างเพราะคบกับชู้รัก เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ตนออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่าจะแถลงในวันที่ 9 ม.ค. ปรากฏว่าอดีตรองนายกฯใช้เล่ห์กลด้วยการพาภรรยาไปหย่าร้างที่ อ.สามพราน จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 9 ม.ค. เพื่อใช้ในทางกฎหมายที่จะขอคืนทรัพย์สินที่ไปหมั้นกับฝ่ายหญิง และแจ้งความหรือเรียกทรัพย์สินต่างๆ คืนได้” ทนายตั้มกล่าว

นายษิทรากล่าวอีกว่า ส่วนข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ของอดีตรองนายกฯ หากค้นข้อมูลส่วนตัวทางโซเชียลจะไม่พบเพราะเป็นวีไอพี แต่เหตุเพราะมีผู้หวังดีเห็นว่า เรื่องนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรม แจ้งตนว่าอดีตรองนายกฯ ไปจดทะเบียนหย่าร้างกับภรรยา ตนนำหลักฐานตรงนี้มาแจ้งความกับพนักงานที่มีหน้าที่สอบสวนด้วย

หากออกมารับผิดชอบอย่างลูกผู้ชายว่า ตนเอง ทำผิดพลาดก็จบ ไม่ใช่โยนความผิดให้คนอื่นโดนข้อหาร่วมกันฉ้อโกงเป็นขบวนการด้วย เรื่องที่ตำรวจมีความเห็นสั่งฟ้องข้อหาร่วมกันฉ้อโกง เป็นเพียงความเห็นเบื้องต้น ตนทำเรื่องขอความเป็นธรรมไปที่พนักงานอัยการแล้ว ไม่ใช่ว่าพอโดนคดีแล้วครอบครัวนี้จะมีความผิด

“ยืนยันว่าไม่มีพิธีสู่ขอ และขอท้าว่าถ้าหากมีจริงมีญาติผู้ใหญ่หรือมีใครรับรู้บ้าง ส่วนกรณีการตบทรัพย์ยังไม่มีการต่อรองใดๆ หากมีจริงคงมีหลักฐานมายืนยัน ส่วนทรัพย์สินที่บอกว่ามากถึง 19 ล้านบาทนั้น เชื่อว่ามีการให้จริงแต่มูลค่าไม่ถึงขนาดนั้น ส่วนก่อนหน้านี้ที่สามีของฝ่ายหญิงมาปรึกษาตน เนื่องจากสามีต้องการขอหย่าแต่ฝ่ายหญิงไม่ยอมหย่าให้ สามีเลยบอกว่า หากไม่ยอมหย่าจะฟ้องหย่าและฟ้องชู้คืออดีตรองนายกฯด้วย ทำให้ฝ่ายหญิงไปบอกกับอดีตรองนายกฯ จึงมาแจ้งความกลับทางครอบครัวฝ่ายหญิง” ทนายตั้มกล่าว หลังจากนั้นเดินทางออกจาก สถานีตำรวจบางยี่ขัน ทันที

ถัดมาเวลา 11.00 น. นาย ก.ให้การพนักงานที่ทำหน้าที่ด้านการสอบสวน สถานีตำรวจบางยี่ขันแล้วเสร็จ เดินออกมาจากห้องสอบสวนแล้วก็เดินทางกลับไป โดยไม่ขอให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนแต่อย่างใด

ภาพอดีตรองนายก

จากกรณีที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ออกมาระบุว่า อดีตรองนายกฯ “ย.” ไปจดทะเบียนหย่ากับภรรยา ตอนวันที่ 9 ม.ค.66

เพื่อหวังต่อสู้คดีแล้วก็เรียกร้องทรัพย์สินคืนนั้น ปรากฏว่าในช่วงสายวันที่ 12 มกราคม ได้มีประกาศเป็นหนังสือเวียนภายในหน่วยงานของอดีตภรรยาของอดีตรองนายกฯ “ย.” แจ้งถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยบอกว่า ได้เปลี่ยนจากนามสกุลของสามี กลับไปใช้นามสกุลเดิมก่อนแต่งงานแล้ว จึงแจ้งให้ทุกแผนกรับทราบ ถ้ามีเอกสารราชการใด ขอให้ใช้นามสกุลเดิมก่อนสมรสด้วย มีผลตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม66 เป็นต้นไป

ที่สำนักงานอัยการคดีอาญาตลิ่งชัน วันเดียวกัน นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยว่า ได้รับทราบจากนายจิระประวัติ แบบประเสริฐ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาตลิ่งชัน ว่า เมื่อเย็นวันที่ 10 เดือนตุลาคม พนักงานที่ทำหน้าที่ในการสอบสวน สถานีตำรวจบางยี่ขัน นำสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง น.ส.ธ. นาย ก.สามี นาง ข. และนาย พ. มารดาและก็บิดาของ นางสาวธ. เป็นผู้ต้องหาที่ 1-4 ตามลำดับ ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ประกอบมาตรา 83

“การนำสำนวนดังกล่าวมายื่นตรงกับวันครบกำหนดผัดฟ้องครั้งที่ 5 คดีนี้อัตราโทษไม่เกิน 3 ปี ถือเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลเเขวง สามารถผัดฟ้องได้ 6 ผัด 30 วัน เท่ากับว่าเหลือเวลาพิจารณาคดีช่วงผัดสุดท้ายถึงวันที่ 15 ม.ค. ก่อนหมดเวลาคุมตัวตามกฎหมาย คดีนี้ฝ่ายผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรมเข้ามา พนักงานอัยการเจ้าของสำนวนจึงสั่งให้ตำรวจสอบสวนเพิ่มเติม ก่อนพิจารณามีคำสั่งทางคดีต่อไป ถ้าผลการสอบสวนที่พนักงานอัยการสั่งสอบเพิ่มส่งมาไม่ทันอัยการพิจารณาสั่งคดีวันที่ 15 ม.ค. ตามกฎหมาย ตัวผู้ต้องหาต้องพ้นการคุมตัวของศาล คดีต้องขออนุญาตอัยการสูงสุดฟ้อง หากมีคำสั่งฟ้องตำรวจต้องนำผู้ต้องหามาให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลอีกครั้ง” รองโฆษก อสส.กล่าว